วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

เปิดร้านขายเสื้อผ้า

เปิดร้านขายเสื้อผ้า


เทคนิคเปิดร้านขายเสื้อผ้า.....ให้มีกำไร
ในการทำธุรกิจอะไรก็ตามไม่ใช่ว่าแค่ให้มีทุนแล้ว หรือเห็นคนอื่นเขาทำแล้วดี ก็เลยทำ อย่างน้อยๆ เราควรต้องรู้จักกับธุรกิจนั้นๆ อย่างลึกซึ้ง รู้จักสินค้า รู้จักตัวเองให้ดีพอก่อนว่าชอบที่จะทำจริงๆ หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นแค่ธุรกิจเล็กๆ หรือธุรกิจใหญ่ๆ ก็ต้องมีการวางแผนเสมอ อย่างเช่น

ธุรกิจขายเสื้อผ้า...ก็เป็นอีกทางเรียกหนึ่งธุรกิจยอดฮิตที่ใครๆ ก็อยากทำ และเสน่ห์ของธุรกิจนี้อยู่ที่ ความสวยงามของเสื้อผ้า ที่ผู้พบเห็นแล้วมักอยากจะแวะซื้อมาสวมใส่ เพื่อเพิ่มความสวย ความหล่อ เติมเต็มบุคลิกภาพให้ดูดีสง่างาม และด้วยเสื้อผ้าเป็นสินค้าที่ ไม่เน่า...ไม่เสีย ขายไม่หมดวันนี้ก็สามารถเก็บไว้ขายพรุ่งนี้ได้

เมื่อตัดสินใจที่จะเปิดร้านขายเสื้อแล้ว เรายังมีวิธีการและขั้นตอนอย่างไรที่จะประสบความสำเร็จในการเปิดร้านขายเสื้อ ธุรกิจทางด้านแฟชั่น ที่ตัวสินค้ามีอายุสั้นแต่อนาคตยาว

- เงินทุนหลักหมื่นก็เพียงพอ

เงินลงทุนเป็นหัวใจหลัก โดยจะมีส่วนกำหนดหน้าตาเริ่มต้นของธุรกิจ

- ขายใคร...วัยไหน...ผู้หญิงหรือชาย

หลังจากที่รู้จำนวนของทุนแรกเริ่ม สิ่งที่ควรต้องคิดเป็นอันแรกเลย คือต้องรู้ว่ากลุ่มลูกค่าคือใครให้เริ่มจากคิดกว้างๆว่า ลูกค้านั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง หรืออาจจะเป็นทั้ง 2 เพศ เลยก็ได้


- วิเคราะห์ทำเลทองก่อนเปิดร้าน

ถ้ามีเงินทุนที่สูง การหาทำเลก็คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับผู้ที่มีทุนน้อยนั้นอาจเริ่มจากการวางขายตามตลาดนัดและควรจะสำรวจดูว่าล็อคไหนเป็นจุดที่คนเดินผ่านเยอะที่สุด


- ตกแตงร้าน...เพื่อดึงดูดลูกค้า

การตกแต่งร้านสำคัญมากถ้าตกแต่งร้านแบบเรียบๆ ไม่โดดเด่นสินค้าของคุณก็แลดูไม่น่าสนใจไปด้วย


- หาแหล่งค้า...ยอดฮิต

ในปัจจุบันมีแหล่งค้าส่งเสื้อผ้าเกิดขึ้นมากมาย แต่แหล่งยอดนิยมก็คงหนีไม่พ้น แหล่งที่มีสินค้าส่งมากที่สุดก็คือ ประตูน้ำ โบ๊เบ๊ และจตุจักรเป็นต้น


- การเลือกสินค้าตามกลุ่มเป้าหมาย

เสื้อมีหลายรูปแบบ ความต้องการของคนก็มีหลากหลาย ขนาดของเสื้อก็น่าจะเป็นขนาดฟรีไซส์หรือขนาดตามมาตรฐาน (s m l xl) แต่จำนวนไม่ต้องเยอะมากเพราะเป็นการสำรวจความต้องการของลูกค้าว่าความต้องการไซส์ไหนมากที่สุดจนถึงน้อยที่สุด

- ราคาเหมาะสม...บริการประทับใจ
การกำหนดราคาที่เหมาะสมนั้นควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ราคาสินค้านับเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการตัดสินใจของผู้บริโภคและในส่วนที่จะให้คนที่เดินเข้าร้านเราประทับใจนั้นก็คือ การบริการที่ดี อัธยาศัยดี หมั่นยิ้มเข้าไว้แม้ว่าจะมีเรื่องที่ไม่ดีอยู่ในใจก็ตามที

การขายเสื้อผ้าเป็นงานอิสระ สนุก เมื่อเราเป็นเจ้าของกิจการแล้วจะต้องยอมรับกับยอดขายที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะน้อยหรือมากก็ตาม กำไรหรือว่าขาดทุนที่สำคัญที่สุดต้อง “ อดทน ขยัน ” รับรองประสบความสำเร็จแน่นอน

ที่มา : หนังสือเถ้าแก่ใหม่ (ฉบับวันที่ 25 ตุลาคม 2551)

ธุรกิจ Car Care

เปิดร้านคาร์แคร์

เงินลงทุน



ประมาณ 400,000 บาท

 
รายได้


ประมาณ100,000 บาท/เดือน แล้วแต่ทำเล


วัสดุ/อุปกรณ์


เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ปั๊มลม เครื่องดูดฝุ่น- ดูดน้ำ เครื่องพ่นโฟม เครื่องซักกพรม อุปกรณ์ล้างรถ โฟมและน้ำยาล้างรถ น้ำยาขัดเงาและเคลือบสี



เปิดร้านขายยา

เปิดร้านขายยา

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการเปิดร้านขายยา


1. ร้านยาเป็นธุรกิจบริการเฉพาะวิชาชีพ มีกฏหมายที่เรียกว่า "พระราชบัญญัติยา" ควบคุมการดำเนินงานโดยตรง

2. ใบอนุญาตสำหรับการเปิดร้านขายยา มีเพียง 2 ประเภท คือ
2.1 ใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน
2.2 ใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน เฉพาะยาบรรจุเสร็จ ที่ไม่ใช่ ยาอันตราย หรือ ยาควบคุมพิเศษ (ไม่มีการออกใบอนุญาตเพิ่มใหม่อีกแล้ว)

3. การขอใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน ต้องมีเภสัชกรที่มีใบประกอบโรคศิลป์ เป็นผู้ปฏิบัติการ (มาตรา 21)

4. เภสัชกรผู้ปฏิบัติการ จะต้องประจำอยู่ ณ สถานที่ขายยา ตลอดเวลาเปิดทำการ เพื่อคอยควบคุมการขาย และส่งมอบยาอันตราย - ยาควบคุมพิเศษ (มาตรา 39)

5. ใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน จะขายได้เฉพาะยาอันตราย กับยาควบคุมพิเศษเท่านั้น ไม่รวมถึง
5.1 วัตถุออกฤทธิ์ต่อประสาท ประเภท 3 หรือ 4
5.2 ยาเสพติดให้โทษ ประเภท 3

6. ผู้ถือใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน จะต้องทำบัญชี ซื้อ และ ขาย ของ
6.1 ยาอันตราย
6.2 ยาควบคุมพิเศษ (ขายได้ตามใบสั่งแพทย์) ที่มีลายเซนต์ของเภสัชกรผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการลงชื่อรับรอง แล้วเก็บไว้ที่ร้านเป็นหลักฐาน เพื่อรอการตรวจสอบจาก คณะกรรมการอาหารและยา ต่อไป

ที่มา http://www.pharmanet.co.th/articles.php?article_no=19

เปิดร้านเครื่องเขียน

เปิดร้านเครื่องเขียน


คำแนะนำเบื้องต้นในการเปิดร้านเครื่องเขียน


ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนนะครับว่าคำแนะนำนี้ เขียนขึ้นโดยใช้ความรู้และประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ดังนั้นหากเนื้อหามีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

1. ประเมินและศีกษาทำเลที่ตั้งร้าน
ขอให้ประเมินจำนวนคนและนักเรียนหรือนักศึกษาในบริเวณแถวที่คุณต้องการจะเปิดร้านก่อนครับ ว่าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มไหน เช่น เด็กนักเรียนประถม นักเรียนมัธยม หรือ นักศีกษามหาวิทยาลัยครับ ประเมิน ระดับ และ ความชอบของสินค้าแต่ละประเภท เช่น ชอบสินค้าดีแต่ราคาสูง หรือว่า ราคาถูกแต่คุณภาพพอใช้ครับ (สำหรับข้อนี้ ขอย้ำว่าทำเล มีึความสำคัญเป็นอย่างมากครับ รองลงมาคือใจที่อยากทำร้านเครื่องเขียนครับ)

2. สำรวจเพื่อตรวจสอบการประเมิน
ให้ไปสังเกตดูสินค้าตามแผนกเครื่องเขียนของห้างสรรพสินค้า หรือร้านโชว์ห่วยบริเวณแถวนั้นว่าลูกค้า บริเวณนั้นนิยมซื้อสินค้าใดครับ เพื่อให้แน่ใจได้มากยิ่งขึ้นว่า มีกลุ่มลูกค้าที่จะซื้อสินค้าที่คุณประเมินไว้แน่ๆ แล้วทำการจดไ้ว้เป็นรายการสินค้าอย่างคร่าว ๆ ครับ (จะมีประโยชน์เวลาเลือกซื้อสินค้าครับ)

3. เลือกและสำรวจแหล่งค้าส่งสินค้าเครื่องเขียน
เริ่มต้นอาจไม่ต้องลงทุนสูงมากครับ ลงทุนสัก 2-3 หมืนบาทเป็นค่าสินค้า (หากคุณคิดว่ามีงบประมาณมากและทำเลที่ตั้ง ขายได้แ่น่ ๆ ก็อาจเพิ่มงบประมาณได้ตามความเหมาะสม) โดยช่วงแรกอาจต้องเดินทางเข้าไปซื้อสินค้าด้วยตัวเองที่สำเพ็ง* ก่อนครับ เพราะจะได้เห็นตัวสินค้าจริง ๆ และใ้ห้เห็นภาพลักษณะการใช้งานและการจัดเรียงสินค้า

*สำเพ็งอยู่ บริเวณใกล้สี่แยกราชวงศ์ แถวถนนเยาวราช (เป็นย่านค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดของประเทศครับ มีสินค้าเกือบทุกชนิดให้ซื้อมาขายต่อได้ครับ ทั้งเครื่องเขียน เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องกีฬา เครื่องประดับ ของเล่น กิ๊ฟช๊อป เครื่องมือช่าง รองเท้า สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ) โดยผมขอแนะนำร้านค้าซึ่งเป็นลูกค้าของเรา เป็นร้านขายส่งเครื่องเขียนโดยตรง ที่มีสินค้าหลากหลายครอบคลุมทุกประเภท หลายยี่ห้อ ราคาเชื่อถือได้ ใช้ระบบทันสมัย มีความสะดวกสบาย ติดแอร์ และมีพื้นที่มากที่สุดในบริเวณนั้นครับ คือ ร้านยูเนี่ยน สเตชั่นเนอรี่ อยู่บนชั้น 3 ของศูนย์ขายส่งสำเพ็ง เข้าไปจากซอยมังกรตรงถนนเยาวราช ตรงเข้าไปเจอ ธนาคารกรุงเทพอยู่ขวามือ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไป 4 ห้องครับ โทร 02-2262661, 02-2242352 ครับ หรือถามทางคนแถวนั้นได้ครับ
ควรไปช่วงวันธรรมดาหรือโรงเรียนปิดเทอม เพราะช่วงโรงเรียนปิดเทอมหรือวันธรรมดา คุณสามารถเดินดูสินค้าได้สบายๆ ก่อนครับ สอบถามพนักงานและเจ้าของร้านได้ครับว่าสินค้าไหนดีไม่ดีอย่างไร ช่วงใกล้เปิดเทอมหรือ เสาร์ อาทิตย์ เป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่เข้าไปเดินเลือกซื้อสินค้าที่สำเพ็งกัน อาจยุ่งมากจนคุณเดินได้ไม่สะดวกครับ

4. เลือกซื้อสินค้า
จากรายการสินค้าที่ได้จากข้อมูลที่ได้ทำการประเิมินกลุ่มลูกค้าไว้ ก็เตรียมสตางค์และไปทำการเลือกซื้อสินค้ามาครับ โดยพยายามเลือกสินค้าให้หลากหลายชนิดไว้ครับ แต่ละอย่างไม่จำเป็นต้องเป็นจำนวนมาก ซื้ออย่างละ 1 แพ็ค 2 แพ็ค ก็พอครับในช่วงระยะเริ่มต้น ไว้ขายดีขึ้นก็ค่อยซื้อมากขึ้นครับ


5. เีริ่มทำการขายจริง
ไม่ต้องกลัวลูกค้าครับ เมื่อมีร้านและมีสินค้าแล้วก็ให้ทำการขายได้เลยครับ ช่วงแรก ๆ ไม่ต้องลงทุนมากในการจัดตกแต่งหน้าร้าน แต่พยายามให้ดูแปลกตา น่าเข้า น่าซื้อ (ป้ายโฆษณาสินค้าเครื่องเขียนยี่ห้อต่าง ๆ ก็ขอมา เพื่อมาประดับให้รู้สึกเป็นร้านเครื่องเขียนมาตรฐาน) และพยายามให้ลูกค้ารู้สึกว่ามีสินค้าหลากหลายและมีสีสัน ให้คนแถวนั้นรู้ว่าเราเป็นร้านเครื่องเขียนเปิดใหม่น่าเข้ามาเดินชมเดินดู และราคาก็บวกกำไร น้อย ๆ ไว้ก่อนครับ เพื่อเป็นการโฆษณาในตัว จะได้บอกกันปากต่อปาก ( Word-of-mouth เป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุดวิธีหนีึ่งในการโฆษณา)

6. หาสินค้าอื่น ๆ มาร่วมขายด้วย
ธุรกิจเครื่องเขียนที่เน้นกลุ่มนักเรียน จะมีลักษณะเป็นธุรกิจที่เป็น Seasonal ครับ (แปลง่ายๆ ก็คือจะขายดีช่วงเปิดเทอมและจะซบเซาช่วงปิดเทอม ครับ) ดังนั้นเพื่อให้ร้านเครื่องเขียนสามารถอยู่ได้ทั้งปี ก็หา็เอาสินค้ากิ๊ฟช๊อป เครื่องประดับและของเล่นต่างๆ ที่หาซื้อได้จากแถวสำเพ็งเช่นกันมาแซมขายได้ด้วยครับ ร้านจะได้ทำรายได้อย่างต่อเนื่องครับ

7. ระบบคิดเงินที่ใช้
ช่วงแรกก็ขายและคิดเงินแบบลงทุนน้อยไว้ก่อนครับ ก็คือใช้ระบบ Manual หรือก็คือใช้มือของเรา โดยมีเครื่องคิดเลขและบิลเงินสดเป็นอุปกรณ์ครับ แล้วใช้ป้ายราคาแปะที่ตัวสินค้าทุกๆชิ้น ในร้านเอาไว้ เพื่อป้องกันการขายผิดราคาเมื่อมีสินค้าเยอะขึ้นจนจำราคาไม่ได้ทั้งหมดครับ เมื่อยอดขายดีขึ้น ต่อไปก็พัฒนาระบบการขายไปเรื่อย ๆ ครับ เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ตัดสต๊อก และระบบบาร์โค้ด หากต่อไปต้องการขายให้กับหน่วยราชการหรือบริษัทต่างๆ ก็นำร้านค้าไปจดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มครับ

หวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านไม่มากก็น้อยครับ

ขอให้ทุกท่านค้าขายร่ำรวยประสบความสำเร็จครับ หวังไว้ว่าวันหน้าคงมีีโอกาสได้รับใช้ครับ

ที่มา  http://www.suksawat.net/open_shop.php

เปิดร้านขายมือถือมือสอง

เปิดร้านขายมือถือมือสอง

เงินลงทุน
ลงทุนประมาณ 200,000 -300,000 บาท
อุปกรณ์
ซื้อตู้กระจก, โมเดลไว้โชว์, อุปกรณ์ซ่อม, คอมพิวเตอร์

เสียภาษีค้าของเก่าปีละ 5,000

สิ่งที่ต้องระวัง!! พวกลิขสิทธิ์มาล่อซื้อ mp3 เสียขั้นต่ำ 20,000 เลยทีเดียวครับ

อีกอย่างถ้าจะเปิดร้านมือถือ อย่างแรกให้ไปจดทะเบียนการค้าก่อนเป็นอันดับแรก


หลังจากที่หาที่ทางตั้งร้านได้แล้วและไปขอใบค้าของเก่า

และถ้าจะขายเครื่องมือหนึ่งด้วยก็ต้องไปขอใบอนุญาติจากกรมไปรษณีย์โทรเลข

ไม่ใช่เปิดดื้อๆ เลยนะครับ มีหวังติดคุกแน่นอน


สรุปสิ่งที่ต้องมี

1.ใบทะเบียนการค้า ไม่ถึงร้อยครับ

2.ใบค้าของเก่า (ขอใหม่ 6000 บาท รอประมาณ 2-3 เดือน Tongue)

3.ใบขายเครื่องใหม่และซ่อมอุปกรณ์สื่อสารจากกรมไปรษณีย์โทรเลข สองอย่างนี้รวมปีละ

1000 บาท ส่วนมากบางร้านจะไม่ทราบว่าต้องมีใบนี้ (ถ้าขายเครื่องมือสองก็ไม่ต้องขอ

แต่ถ้าซ่อมอย่างเดียวไม่ได้ขายเครื่องใหม่ก็ขอเฉพาะซ่อม อยู่ที่ 500บาท ต่อ 5 ปี )

4.เมื่อครบปีก็ไปแจ้งเสียภาษีภงด.90 ด้วยนะครับ

(เสียปีละ 2 ครั้ง ตามรายได้ที่แจ้งไป )

ข้อคิดจากผู้มีประสบการณ์

มือถือร้านไม่ใหญ่มาก กำไรส่วนใหญ่ จะมาจากเครื่องมือสองครับ
มือหนึ่งรับมาขายนิดหน่อย กำไรนิดหน่อย หลักร้อย
ขายมือสอง กำไรอยู่ตรงนี้ครับ เรารับซื้อถูก แต่เราขาย กำไรหลักพันเลยครับ

เอามือหนึ่งลงสักนิด ไปเอาจาก บุญครอง ร้านขายส่ง
จะราคาถูกกว่าราคาปกติอยู่3-4ร้อย

ส่วนถ้ารับซื้อเครื่องมือสอง กับรับจำนำ อันนี้กำไรดีแต่อย่าลืมไปขอใบอนุญาตินะคับ
ถ้าเน้นพวกแบตเตอร์รี่ Smalltalk ลองเดินดูแถวถนน เสือป่าคับราคาถูกดี





วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

มาตรฐานไอเอสโอ(ISO)คืออะไร (ตอนที่2:Audit Guide )

ISO 9001:2008 Audit Guide

ISO9001:2008 , 4 Quality management system

4.1 General requirements ขัอกำหนดทั่วไป

4.2 Documentation requirements ข้อกำหนดเกี่ยวข้องกับเอกสาร

4.2.1 General

4.2.2 Quality manual

4.2.3 Control of document

4.2.4 Control of records

ISO9001:2008, 5 ความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร (Management responsibility)

5.1 ความมุ่งมั่นของฝ่ายบริหาร (Management commitment )

5.2 การให้ความสำคัญกับลูกค้า (Customer focus )

5.3 นโยบายคุณภาพ ( Quality Policy)

5.4 การวางแผน (Planning)

5.5 อำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และการสื่อสาร (Responsibility, authority and communication )

5.6 การทบทวนของผู้บริหาร (Management review)

ISO9001:2008, 6 Resource management การบริหารทรัพยากร

6.1 Provision of resources การจัดให้มีทรัพยากร

6.2 Human resources ทรัพยากรบุคคล ( 6.2.1 , 6.2.2 )

6.3 Infrastructure โครงสร้างพื้นฐาน

6.4 Work environment สภาพแวดล้อมในการทำงาน

ISO9001:2008, 7 Product realization

7.1 Planning of product realization การก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์

7.2 Customer-related processes กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า

7.3 Design and development การออกแบบและพัฒนา

7.4 Purchasing การจัดซื้อ

7.5 Production and service provision การดำเนิการผลิตและบริการ

7.6 Control of monitoring and measuring equipment การควบคุมเครื่องมือ เฝ้าติดตาม และตรวจวัด

ISO9001:2008, 8 Measurement, analysis and improvement

8.1 General บททั่วไป

8.2 Monitoring and measurement การเฝ้าติดตามและการตรวจวัด

8.3 Control of nonconforming product การควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ไม่สอดคล้อง

8.4 Analysis of data การวิเคราะห์ข้อมูล

8.5 Improvement การพัฒนา

• 8.5.1 การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continual improvement)

• 8.5.2 การปฏิบัติการแก้ไข (Corrective action)

8.5.3 การปฏิบัติการป้องกัน (Preventive action)

ISO9001:2008 , 4 Quality management system

การบริหารคืออะไร iso9001:2008

ทำไมถึงสำคัญ

เพราะชื่อของ ISO9001:2008 คือ Quality Managenent System ." ระบบบริหารคุณภาพ" ดังนั้นภาพรวมทั้งหมดของมาตรฐานจะกล่าวถึงระบบการบริหาร ดังนั้นในการทำความเข้าใจมาตรฐาน ISO9001 เราจำเป็นต้องเข้าใจคำว่าอะไรคือการบริหารเสียก่อน

อะไรคือนิยามของ Management

นิยามที่มีการกำหนดไว้่คือ

" Getting results through others by specializing in the work of planning, organizing, leading and control."

"ได้ผลงานด้วยการจัดให้คนอื่นทำ โดยการวางแผน จัดส่วนงาน การนำ และการควบคุม"

มาตรฐานไอเอสโอ(ISO)คืออะไร (ตอนที่1)

มาตรฐานไอเอสโอ(ISO)คืออะไร มีกี่ประเภท


ISO มาจากคำว่า International Standardization and Organization มีชื่อว่าองค์การมาตรฐานสากล หรือองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1946 หรือพ.ศ.2489 มีสำนักงานอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีวัตถุประสงค์คล้ายๆกับองค์การการค้าอื่นๆของโลก คือจัดระเบียบการค้าโลก ด้วยการสร้างมาตรฐานขึ้นมา ใครเข้าระบบกติกานี้ถึงจะอยู่ได้

ช่วงที่ ISO ก่อตั้งขึ้น เป็นช่วงสงครามโลกก็เพิ่งจะจบลงใหม่ๆ ดังนั้นประเทศต่างๆก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก ต่างคนต่างขายของ โดยมีระบบมาตรฐานไม่เหมือนกัน

จนกระทั่งในปี 2521 เยอรมนีเป็นตัวตั้งตัวตีให้ทั่วโลกมีมาตรฐานคุณภาพสินค้าเดียวกัน ส่วนองค์กรมาตรฐานโลกก็จัดตั้งระบบ ISO/TC176 ขึ้น

ต่อมาอีก1ปี อังกฤษพัฒนาระบบคุณภาพที่เรียกว่า BS5750 ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ จากนั้นในปี 2530 ISO จึงจัดวางระบบการบริหารเพื่อการประกันคุณภาพที่สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบเอกสาร หรือที่เรียกว่า อนุกรมมาตรฐาน ISO 9000 เป็นมาตรฐานที่กำหนดใช้ในทุกประเทศทั่วโลก

ตัวเลข 9000 เป็นชื่ออนุกรมหนึ่ง ที่แตกแยกย่อยความเข้มของมาตรฐานงานออกเป็นอีก 3 ระดับ คือ ISO 9000, ISO 9001 และ ISO 9003 นอกจากนี้ยังมีอีกอนุกรมหนึ่งคือ ISO 14000 เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมและระบบคุณภาพ

ISO 9000 เป็นแนวทางในการเลือก และกรอบในการเลือกใช้มาตรฐานชุดนี้ให้เหมาะสม

ISO 9001 มีระดับความเข้มมากที่สุด คือหน่วยงานที่จะได้รับอนุมัติว่ามีระบบคุณภาพมาตรฐานสากลในระดับนี้จะต้องมีรูปแบบลักษณะการทำงานในองค์กรตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ 20 ข้อ โดยมีการกำกับดูแลตั้งแต่การออกแบบ การพัฒนา การผลิตและการบริการ ยกตัวอย่างชื่อหัวข้อที่พอจะเข้าใจ เช่น กลวิธีทางสถิติ การตรวจสอบการย้อนกลับของผลิตภัณฑ์ การจัดเก็บการเคลื่อนย้าย เป็นต้น

ISO 9002 ก็จะเหลือเพียง 19 ข้อ ดูแลเฉพาะระบบการผลิต การติดตั้งและการบริการ (ตัดกลวิธีทางสถิติออกไป)

ส่วน ISO 9003 เหลือแค่ 16 ข้อ ดูแลเฉพาะการตรวจสอบขั้นสุดท้าย

ISO 9004 เป็นแนวทางในการบริหารระบบคุณภาพเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นต้น

ถ้าอธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ISO 9000 ก็คือ การกำหนดมาตรฐานสากลในการจัดระบบงานของหน่วยงานให้ตรงตามที่มาตรฐาน ISO 9000 กำหนดไว้

หน่วยงานที่คิดว่าตนเองจัดรูปแบบได้ตามที่ ISO 9000 กำหนดไว้แล้วจะมีหน่วยงานที่เข้ามาตรวจสอบและออกใบรับรองให้อย่างเป็นทางการ คือ สมอ. หรือ สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0-2202-3428 และ 0-2202-3431

อย่างไรก็ตามมีบริษัทต่างชาติที่เข้ามาเป็นผู้ตรวจสอบและสามารถออกใบรับรองให้ได้

ขั้นตอนการขอ ISO 9000 เริ่มจากการขอข้อมูล ยื่นคำขอ ตรวจประเมิน ออกใบรับรอง ตรวจติดตาม ตรวจประเมินใหม่

ส่วนการเตรียมระบบคุณภาพมี 4 ข้อใหญ่ๆ คือ

1.ทบทวนสถานภาพกิจการปัจจุบัน

2.จัดทำแผนการดำเนินงานและระบบเอกสาร

3.นำระบบบริหารงานคุณภาพไปปฏิบัติ

4.ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบคุณภาพ

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเรื่องนี้ตกประมาณ 2-3 แสน

ถ้าเป็นสินค้าหรือบริการส่งออก รัฐบาลจะช่วยออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง

ส่วนเวลาดำเนินการจะประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี

ISO ใช้วัดคุณภาพ ทั้งด้าน

1.โรงแรม ภัตตาคารและการท่องเที่ยว

2.กลุ่มคมนาคม สนามบิน และการสื่อสาร

3.สาธารณสุข โรงพยาบาล

4.ซ่อมบำรุง

5.สาธารณูปโภคต่างๆ

6.การจัดจำหน่าย

7.มืออาชีพ การสำรวจ ออกแบบ ฝึกอบรม และที่ปรึกษา

8.บริหารบุคลากร และบริการในสำนักงาน

9.วิทยาศาสตร์ การวิจัยและพัฒนา

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

การทำเทียนเจล

การทำเทียนเจล
งานศิลปะอีกอย่างหนึ่งครับที่ทำได้เหมือนของจริงมากไม่ว่าจะทำเป็นลักษณะใดเช่น เครื่องดื่ม ขวดโหลที่มีปลาสวยงามแหวกว่ายอยู่ภายใน

ไอศครีมเย็นฉ่ำน่ารับประทาน หลากหลายแล้วแต่จะคิดทำ เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ทำคล้ายๆกับการทำเทียมหอมเลยครับ เรามาดูกัน

วัสดุที่ต้องใช้

1 เทียนเจลใส

2 ไส้เทียนแบบมีเส้นลวดอยู่ภายใน ทำจากเส้นด้ายฝ้าย 100 %

3 น้ำหอมกลิ่นต่างๆ

4 สีที่ใช้ทำเทียนชนิดผง จะสามารถละลายในน้ำมันได้

5 แก้วใสแบบสวยๆหรือแบบแปลกๆ จานรองแก้ว ชามแก้วแล้วแต่ว่าจะทำให้เหมือนอะไร เช่น จะทำเครื่องดื่มก็ใช้แก้วใสธรรมดา ถ้าจะทำไอศครีมก็เลือกใช้แก้วใส่ไอศครีมจะมีลักษณะเป็นแก้วหนาวงรี เป็นต้น

6 พาราฟิน

7 อุปกรณ์ตกแต่งต่างๆ เช่นหลอดกาแฟ ทรายสีต่างๆ ก็ขึ้นอยู่ว่าจะทำเป็นอะไรครับ

อุปกรณ์

1 เตาหุงข้าวไฟฟ้าหรือเตาถ่านใช้ละลายเทียน ถ้าเป็นเตาหุงข้าวไฟฟ้าจะสะดวกกว่าครับ

2 ภาชนะสำหรับละลายเทียนเจลเช่น หม้อโลหะ กะลามัง

3 สารภี ช้อน ส้อม

4 มีด ใช้ตกแต่งผิวงานให้เรียบร้อย

5 กรรไกร

6 พิมพ์ขนมแบบต่างๆ

สำหรับการทำให้ออกมาชิ้นงานสวยๆนั้นสามารถทำได้มากมายหลายแบบด้วยกัน ผมขอนำมาบางแบบเพื่อเป็นแนวทางก็แล้วกัน พอได้ลองลงมือทำคุ้นเคยกับขั้นตอนการทำต่างๆแล้วก็จะสามารถปรับแบบได้เอง ลองดูนะครับ

เทียนเจลรูปแบบต่างๆ

เบียร์เย็นเจี๊ยบ


วิธีทำ

1 เตรียมแก้วเบียร์ใส 1 ใบ แบบไหนก็ได้ที่คอเบียร์ชอบละครับ ปกติก็จะเป็นแบบมีหูจับ ทำความสะอาดรอไว้

2 นำเจลใส่หม้อหรือกาละมังขึ้นตั้งไฟให้ละลาย ให้ใช้ไฟอ่อน

3 เมื่อละลายแล้วนำสีเหลืองค่อยๆเติมลงไปพร้อมกับคนให้ทั่ว ดูสีให้เหมือนกับสีของเบียร์จริงก็ใช้ได้

4 คราวนี้ก็เติมน้ำหอมกลิ่นที่ชอบลงไป ให้ใส่แต่น้อยครับอย่าใส่มากเพราะถ้ามากไปเจลจะขุ่น

5 เมื่อเจลเย็นตัวลงจะเริ่มหนืดใช้ส้อมคนเจลให้ฟองอากาศขึ้นให้ดูเหมือนมีแก๊ซอยู่ภายใน

6 ทีนี้เรามาทำฟองเบียร์ขาวๆโดยนำพาราฟินมาตั้งไฟให้ละลาย พอเริ่มแข็งตัวใช้ช้อนหรือส้อมก็ได้ขูดให้เป็นฟอง เสร็จแล้วตักใส่แก้วเบียร์ในข้อ 5

7 จากนั้นก็นำไม้ปลายแหลมเช่นไม้เสียบลูกชิ้น ไม้จิ้มฟัน หรือเหล็กแหลมเสียบลงไปให้เป็นรู นำไส้เทียนสอดเข้าไป เสร็จแล้วครับ

งานแบบนี้เวลาจะคิดผลงานใหม่ๆออกมาต้องใช้จินตนาการเหมือนกันครับ แรกๆก็ดูจากของจริงก่อนว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ตรงไหนเราต้องใช้เจล สีอะไร ตรงไหนจะเป้นพาราฟิน ลองทำดูครับ รวยแล้วห้ามลืมผมก็แล้วกัน

ทำเทียนหอมปรับอากาศ-กันยุง



เงินลงทุน


3,000 บาท

รายได้

20 บาทขึ้นไป/ชิ้น

วัสดุ/อุปกรณ์

เตาแก๊สปิคนิค เทียนแผ่น สีย้อมเทียน หัวน้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ ไส้เทียน ถาด มีด กาต้มน้ำความจุ0.5 กิโลกรัม น้ำมันตะไคร้กันยุง เบ้าพิมพ์แบบเทียน/เบ้าพิมพ์ขนม ริบบิ้น กรรไกร ภาชนะบรรจุเทียน เช่น โหลแก้ว แก้ว

แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์

ร้านขายอุปกรณ์งานฝีมือทั่วไป ร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ ย่านพาหุรัด และแถวเดอะมอลงามวงศ์วาน

วิธีทำ

เทียนหอมปรับอากาศ

1. หั่นเทียนแผ่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในกาต้มน้ำตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนเทียนหลอมละลายเป็นน้ำเทียนใส ๆ ปริมาณ 1 กา หรือ 0.5 กิโลกรัม

2. ใส่สีย้อมเทียนลงไปเพื่อให้มีสีเข้มหรือจางตามต้องการคนให้ละลาย

3. ใส่หัวน้ำหอม 3-4 หยด/น้ำเทียน 0.5 กิโลกรัม จากนั้นนำน้ำเทียนมาเทใส่ภาชนะบรรจุเทียน ใส่ ไส้เทียน รอให้เย็นจนแข็งตัว บรรจุถุงพลาสติก ติดริบบิ้นตกแต่งให้สวยงามก็จะได้ “เทียนหอมปรับอากาศ” หากต้องการให้มีหลายสี ก็นำน้ำเทียนเทใส่ภาชนะบรรจุเทียนเพียง 1/3 ของภาชนะปล่อยให้แข็งตัวแล้วนำน้ำเทียนสีอื่น ๆ มาหยอดซ้อนกันเป็นชั้น ๆ

วิธีใช้เบ้าพิมพ์แบบเทียน

1. นำเทียนแผ่นมาละลายในกาต้มน้ำ ใส่สีย้อมเทียนตามต้องการ หยดหัวน้ำหอม แล้วเทลงในถาดสี่เหลี่ยมให้เป็นแผ่นบาง ๆ หนาประมาณ 1-2 มิลลิเมตรหรือตามต้องการ ทิ้งไว้ให้เริ่มแข็งตัว

2. ใช้เบ้าพิมพ์แบบเทียนหรือเบ้าพิมพ์ขนมรูปต่าง ๆ เช่น ดาว ดอกไม้ กดลงไปดึงแบบเทียนขึ้นมาจะได้เทียนชิ้นเล็ก ๆ นำไปตกแต่งในภาชนะที่เตรียมไว้ เช่น โหลแก้วหรือนำเทียนที่เทใส่ถาดปล่อยไว้ให้พอแข็งตัว แล้วเททับเป็นชั้น ๆ โดยใช้สีต่างกัน จากนั้นนำมาม้วนในขณะที่กำลังนิ่มให้เป็นท่อน ๆ ตัดเป็นชิ้นบาง ๆ ก็จะได้เทียนเป็นชิ้นกลมมีลายซ้อนกันอยู่ภายใน

เทียนหอมกันยุง

วิธีการทำเหมือนการทำเทียนหอมปรับอากาศเพียงแต่เปลี่ยนจากการใส่หัวน้ำหอมเป็น “น้ำมันตะไคร้กันยุง” ประมาณ 2-3 หยดแทน

ตลาด/แหล่งจำหน่าย

แหล่งชุมชน ขายส่งร้านกิ๊ฟท์ช้อป ศูนย์การค้า

สถานที่ฝึกอบรม

1. สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โทร. 0-2942-8200-45 ต่อ 2037-8

2. กองส่งเสริมอาชีพ สำนักพัฒนาชุมชน กรุงเทพมหานคร โทร. 0-2613-7177-8,

0-2613-7191

ข้อแนะนำ

1) การทำเทียนหลายสีในชิ้นงานเดียวกัน ต้องมีกาต้มน้ำจำนวนตามสีที่ต้องการใช้

2) การทำเทียนหอมควรประยุกต์ตกแต่งให้มีความสวยงามหลายรูปแบบ รวมถึง

3) ภาชนะที่บรรจุด้วยและอาจใช้ริบบิ้น เลื่อม ฯลฯ มาตกแต่งภาชนะเพิ่มเติม

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

ร้านเช่าหนังสือ

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการเปิดร้านเช่าหนังสือคือ
ทำเล
ทำเลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของร้านเช่าหนังสือ  เพราะทำเลจะเป็นตัวกำหนดรายได้และแนวทางในการดำเนินกิจการว่าจะเน้นหนังสือแนวไหนบ้าง เช่น หน้ามหาวิทยาลัย หนังสือที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ถ้าเป็นนิยายก็แนว แจ่มใส และ วรรณกรรมแปล เป็นต้น
ทำเลที่เหมาะในการเปิดร้านหนังสือเช่า
-ใกล้สถานศึกษา หน้ามหาลัยหรือใกล้หอพักนักศึกษา ทำเลนี้ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาข้อเสียคือช่วงปิดเทอมจะเงียบมากๆแต่ช่วงเปิดเทอมจะคึกคักซึ่งก็พอจะทดแทนกันได้ สำหรับผู้ที่เล็งทำเลนี้หนังสือต้องเยอะพอสมควรอย่างน้อยต้อง 10000 เล่มขึ้นไป เพราะถ้าหนังสือน้อยลูกค้าก็จะไม่สนใจเนื่องจากทำเลหน้ามหาลัยนั้นคู่แข่งค่อนข้างเยอะ และจะต้องอัปเดทหนังสือออกใหม่เป็นประจำ
-แหล่งชุมชนย่านหอพัก